ชื่อเรื่องของวันอาทิตย์นี้ (วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔) ผู้อ่านคงจะพอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไร อย่างไรก็ดี ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านได้หยุดคิดเสียก่อนนิดหนึ่ง
เราลองมาเริ่มต้นคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมที่ล้วนมีความเกี่ยวพันกันไปหมด ประเทศตะวันออกกลางที่หลายประเทศต่างอิจฉาที่ประเทศเหล่านั้นร่ำรวยจากการสูบน้ำมันใต้แผ่นดินขึ้นมาขายจำหน่ายเป็นจำนวนมาก แล้วท่านคิดหรือไม่ว่าการสูบน้ำมันดังกล่าวนั้นน่าจะมีส่วนทำให้ชั้นใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง หรือที่ประเทศแห่งหนึ่งที่มีประชากรจำนวนมากได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำจำนวนมากมายมหาศาล ย่อมทำให้เกิดการรับน้ำหนักของน้ำในเขื่อนดังกล่าว ซึ่งก็อาจจะทำให้ความสมดุลของแกนโลกเปลี่ยนแปลงไป (ผู้เขียนไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าวมากมาย แต่คิดเอาเอง เดาเอาเองเท่านั้นครับ) ตะวันออกกลางสูบน้ำมันขึ้นมาจากใต้พื้นพิภพ อีกประเทศเก็บน้ำจำนวนมหาศาลไว้บนพื้่นพิภพ น่าจะมีผลกต่อความสมดุลและระบบนิเวศของโลกใบนี้ เมื่อความสมดุลเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมต่างๆ ก็ย่อมจะมีการปรับตัวตามไปด้วยอันก่อให้เกิดความสมดุลตามพลวัตร (Dynamic) ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งการเกิดปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอากาศ (เกิดหิมะตกบางพื้นที่บางประเทศที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน) แผ่นดิน (เกิดแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ) ระดับน้ำทะเล มรสุม เกิดพายุฝน ซึ่งเป็นที่มาของ "น้ำ" ที่มาจากฝากฟ้า
แน่นอนครับ หากน้ำมีจำนวนพอเหมาะพอดีพอกับความต้องการของมนุษย์เราก็ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพต่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ดี หากเมื่อไรที่ปริมาณน้ำในแต่ละปีมีน้อยกว่าความต้องการก็ย่อมจะเกิดความแห้งแล้งความทุกข์ร้อนตามมา แต่หากเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ปริมาณของน้ำมีจำนวนมากกว่าความต้องการเป็นจำนวนปริมาณมากๆ ย่อมจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ปรากฎการณ์น้ำท่วม"
ซึ่งในช่วงเวลานี้หลายพื้นที่จังหวัดในภาคกลางประสบภัยธรรมชาติจากน้ำ ซึ่ง "น้ำ" ที่ว่ามากจากธรรมชาติฝากฟ้าที่ตกลงมาอย่างมากมายจนเกินความต้องการที่จะกักเก็บในเขื่อนต่างๆ ได้ จนในที่สุดก็เกิดน้ำท่วมพื้นที่ต่างๆ ในลุ่มน้ำภาคกลาง เกิดความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกับประชาชนเป็นจำนวนมาก บางพื้นที่เกิดความไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องของระดับน้ำไม่ให้เข้าท่วมไร่นาพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่ของชุมชนที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี บางพื้นที่ได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเกิดความรักสามัคคีกันเห็นอกเห็นใจกันต่างก็ช่วยเหลือกันเท่าที่จะช่วยได้
สถานการณ์น้ำท่วม ทำให้ "นาย ก" หรือ "นายก" ที่ประชาชนได้เลือกและมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนจะต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมหลายเท่าน โดย "นายก" ที่ว่า มีหลายระดับตั้งแต่ นายก อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) นายกเทศบาล นายก อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) นายกเหล่ากาชาดจังหวัด (คุณนายผู้ว่าราชการจังหวัด) และที่สำคัญคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะต้องหาหนทางบำบัดความทุกข์ของประชาชนในตอนนี้ให้ทุกข์น้อยลงให้ได้
แน่นอนครับปีนี้เราไม่สามารถที่จะห้ามฝนให้ตกลงมาได้ (และที่สำคัญคือ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะห้ามไม่ให้ฝนตกลงมาได้) แต่เมื่อเกิดสภาวะ "น้ำท่วม" แล้ว เราคนไทยทุกคนทุกหมู่เหล่าควรจะต้องมี "น้ำใจ" ช่วยเหลือกันในทุกๆ ด้าน (หากไม่ช่วยอะไรก็ไม่ควรจะต้องพูดอะไรที่ก่อให้เกิดความแตกแยกขาดความสามัคคีในชาติขึ้นมาอีก)
เมื่อมีน้ำมากเกินไปเกินความจำเป็นก็เกิดน้ำท่วม เมื่อเกิดน้ำท่วมมากๆ แล้ว เราคนไทยควรจะมี "น้ำใจ" ให้มากๆ เหมือนกันน้ำที่ท่วม ขอให้กำลังใจและเอาใจช่วยทุกท่านที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ เราคนไทยไม่ทิ้งกันครับ ท่านใดมีกำลังทรัพย์มากก็ช่วยกันบริจาคกันมากๆ นะครับ
เราลองมาเริ่มต้นคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมที่ล้วนมีความเกี่ยวพันกันไปหมด ประเทศตะวันออกกลางที่หลายประเทศต่างอิจฉาที่ประเทศเหล่านั้นร่ำรวยจากการสูบน้ำมันใต้แผ่นดินขึ้นมาขายจำหน่ายเป็นจำนวนมาก แล้วท่านคิดหรือไม่ว่าการสูบน้ำมันดังกล่าวนั้นน่าจะมีส่วนทำให้ชั้นใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง หรือที่ประเทศแห่งหนึ่งที่มีประชากรจำนวนมากได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำจำนวนมากมายมหาศาล ย่อมทำให้เกิดการรับน้ำหนักของน้ำในเขื่อนดังกล่าว ซึ่งก็อาจจะทำให้ความสมดุลของแกนโลกเปลี่ยนแปลงไป (ผู้เขียนไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าวมากมาย แต่คิดเอาเอง เดาเอาเองเท่านั้นครับ) ตะวันออกกลางสูบน้ำมันขึ้นมาจากใต้พื้นพิภพ อีกประเทศเก็บน้ำจำนวนมหาศาลไว้บนพื้่นพิภพ น่าจะมีผลกต่อความสมดุลและระบบนิเวศของโลกใบนี้ เมื่อความสมดุลเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมต่างๆ ก็ย่อมจะมีการปรับตัวตามไปด้วยอันก่อให้เกิดความสมดุลตามพลวัตร (Dynamic) ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งการเกิดปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอากาศ (เกิดหิมะตกบางพื้นที่บางประเทศที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน) แผ่นดิน (เกิดแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ) ระดับน้ำทะเล มรสุม เกิดพายุฝน ซึ่งเป็นที่มาของ "น้ำ" ที่มาจากฝากฟ้า
แน่นอนครับ หากน้ำมีจำนวนพอเหมาะพอดีพอกับความต้องการของมนุษย์เราก็ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพต่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ดี หากเมื่อไรที่ปริมาณน้ำในแต่ละปีมีน้อยกว่าความต้องการก็ย่อมจะเกิดความแห้งแล้งความทุกข์ร้อนตามมา แต่หากเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ปริมาณของน้ำมีจำนวนมากกว่าความต้องการเป็นจำนวนปริมาณมากๆ ย่อมจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ปรากฎการณ์น้ำท่วม"
ซึ่งในช่วงเวลานี้หลายพื้นที่จังหวัดในภาคกลางประสบภัยธรรมชาติจากน้ำ ซึ่ง "น้ำ" ที่ว่ามากจากธรรมชาติฝากฟ้าที่ตกลงมาอย่างมากมายจนเกินความต้องการที่จะกักเก็บในเขื่อนต่างๆ ได้ จนในที่สุดก็เกิดน้ำท่วมพื้นที่ต่างๆ ในลุ่มน้ำภาคกลาง เกิดความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกับประชาชนเป็นจำนวนมาก บางพื้นที่เกิดความไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องของระดับน้ำไม่ให้เข้าท่วมไร่นาพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่ของชุมชนที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี บางพื้นที่ได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเกิดความรักสามัคคีกันเห็นอกเห็นใจกันต่างก็ช่วยเหลือกันเท่าที่จะช่วยได้
สถานการณ์น้ำท่วม ทำให้ "นาย ก" หรือ "นายก" ที่ประชาชนได้เลือกและมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนจะต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมหลายเท่าน โดย "นายก" ที่ว่า มีหลายระดับตั้งแต่ นายก อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) นายกเทศบาล นายก อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) นายกเหล่ากาชาดจังหวัด (คุณนายผู้ว่าราชการจังหวัด) และที่สำคัญคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะต้องหาหนทางบำบัดความทุกข์ของประชาชนในตอนนี้ให้ทุกข์น้อยลงให้ได้
แน่นอนครับปีนี้เราไม่สามารถที่จะห้ามฝนให้ตกลงมาได้ (และที่สำคัญคือ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะห้ามไม่ให้ฝนตกลงมาได้) แต่เมื่อเกิดสภาวะ "น้ำท่วม" แล้ว เราคนไทยทุกคนทุกหมู่เหล่าควรจะต้องมี "น้ำใจ" ช่วยเหลือกันในทุกๆ ด้าน (หากไม่ช่วยอะไรก็ไม่ควรจะต้องพูดอะไรที่ก่อให้เกิดความแตกแยกขาดความสามัคคีในชาติขึ้นมาอีก)
เมื่อมีน้ำมากเกินไปเกินความจำเป็นก็เกิดน้ำท่วม เมื่อเกิดน้ำท่วมมากๆ แล้ว เราคนไทยควรจะมี "น้ำใจ" ให้มากๆ เหมือนกันน้ำที่ท่วม ขอให้กำลังใจและเอาใจช่วยทุกท่านที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ เราคนไทยไม่ทิ้งกันครับ ท่านใดมีกำลังทรัพย์มากก็ช่วยกันบริจาคกันมากๆ นะครับ
มันก็เป็นอย่างนี้แหละท่าน "น้ำเอย น้ำท่วม & น้ำใจ"